によって Nipaporn Chaisuwan 4年前.
459
もっと見る
ความร้อนของปฏิกิริยา (🔼Hrxn)
🔼Hrxn = Eproduct– Ereactant หรือ 🔼Hrxn = Ea,f– Ea,r
ปฏิกิริยาผันกลับได้(Reversible Reaction)
ในปฏิกิริยาทีผันกลับได้สารตังต้นเกิดปฏิกิริยาเดินหน้า (Forward Rxn) เป็ นผลิตภัณฑ์และผลิตภัณฑ์สามารถ เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ (Reverse Rxn) เป็นสารตังต้นได้
พลังงานก่อกัมมันต์หรือ พลังงานกระตุ้น (Ea) คือ พลังงานปริมาณน้อยทีสุดทีจําเป็นต่อการเกิดปฏิกิริยา
ถ้า Ea มีค่าน้อย ปฏิกิริยาเกิดได้ง่าย อัตราการ เกิดปฏิกิริยาจะสูง
Ea เป็นค่าคงที ขึนกับปฏิกิริยาเคมี
A + B⇆ [A…B]‡ ➡ C + D
[A…B]‡ คือ สารเชิงซ้อนกัมมันต์(activated complex) หรือ สารในสถานะทรานซิชัน (Transition State)
พลังงานของสารตังต้นในสภาวะ transition เทียบกับ พลังงานของสารตังต้นเท่ากับ พลังงานก่อกัมมันต์, Ea (activation energy)
Activated complex มีพลังงานสูงและอย่ในสภาวะไม่เสถียร
ทฤษฎีทรานซิชันสเตทคล้ายกับทฤษฎีการชนแต่สามารถ อธิบายปัจจัยพลังงานการชนได้ด
สารประกอบนีอย่ในสภาวะ ู Transition-State คือ สามารถ จัดเรียงตัวใหม่และเกิดเป็ นผลิตภัณฑ์หรือ สลายตัวและ กลับไปเป็ นสารตังต้น
สารตังต้นทีเกิดการชนกันอย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดเป็ น สารประกอบใหม่ เรียกว่า สารเชิงซ้อนกัมมันต์(activated complex) ซึงมีพลังงานสูง ไม่เสถียรและมีอายุสัน
ปัจจัยทีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
เพิมอุณหภูมิ
เพิมจํานวนครังในการชนกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เพิมพลังงานจลน์ของอนุภาค
เพิมจํานวนครังในการชน
เพิมความเร็วเฉลีย
เพิมความเข้มข้นของสารตังต้น
เพิมโอกาสทีอนุภาคชนกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เพิมจํานวนอนุภาค
ปัจจัยพลังงานของการชน
พลังงานของอนุภาคขึนกับอุณหภูมิ
อุณหภูมิเพิมขึน อนุภาคจะมีพลังงานมากขึน และจํานวน อนุภาคทีมีพลังงานมากกว่า Ea จะเพิมขึน
การชนกันของสารตังต้นเพือให้เกิดปฏิกิริยาเคมีจะต้องมีพลังงาน อย่างน้อยเท่ากับพลังงานขันตําทีต้องใช้เพือทําลายพันธะเดิม(Ea)
ปัจจัยทิศทางการชน
ในการชนจะต้องมีทิศทาง(orientation)ทีเหมาะสมต่อการ ทําลายพันธะเดิมและสร้างพันธะใหม
ปัจจัยการชน
สารตังต้นทีชนกันไม่จําเป็นต้องเกิดปฏิกิริยาทุกครัง
ความถีของการชน (collision frequency)
อุณหภูมิสูง อนุภาคชนกันบ่อยขึน
อุณหภูมิสูง อนุภาคเคลือนทีได้เร็วขึน
ความเข้มข้น(ความดัน) ของสาร
ความเข้มข้นมาก อนุภาคชนกันบ่อย
ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึนได้ก็ต่อเมือ
การชนทีเกิดขึนมีพลังงานมากเพียงพอทีจะทําให้เกิดการ ทําลายพันธะเดิม
การชนมีทิศทางทีเหมาะสม
สารตังต้นเกิดการชน (collide) กัน
เป็นปฏิกิริยาที่เกิดระหว่างสารตั้งต้นที่มีวัฏภาคต่างกัน
หมายถึงปฏิกิริยาที่สารตั้งต้นอยู่ต่างสภาวะกันหรือไม่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
Ex.Hg (l) + ½ O2(g) →HgO (s) HgO (s) →Hg (l) + ½ O2(g)
ปฏิกิริยาเอกพันธุ์(Homogeneous)
เป็นปฏิกิริยาที่เกิดในวัฏภาคเดียว
ปฏิกิริยาที่สารตั้งต้นทุกตัวในระบบอยู่ในสภาวะเดียวกันหรือกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
Ex.2NO2(g) + Br2(g) →2NOBr (g) H3O+(aq) + OH-(aq) →2H2O(l)
A → P A + B → P A + B + C → P
อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึนกับความเข้มข้นของสารตังต้น โดยมีอันดับรวมของปฏิกิริยาเท่ากับ 2 แบ่งเป็นสองกรณี
สารตังต้นต่างชนิดกันและมีความเข้มข้นเริมต้นไม่เท่ากัน
ขึ้นกับสารตังต้นเพียงตัวเดียว ([A]2) หรือขึนกับสารตังต้น สองตัวแต่มีความเข้มข้นเริมต้นเท่ากัน ([A] = [B])
ครึงชีวิต t ½ →a = ½ a0
อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึนกับความเข้มข้นของสาร ตังต้น
ค่าครึ่งชีวิตของปฏิกิริยาอันดับศูนย
ครึงชีวิต (t ½) คือ เวลาทีใช้ในการทําให้ความเข้มข้นของ สารตังต้นลดลงเหลือเพียงครึงหนึงของความเข้มข้นเริมต้น ที t = t½ จะได้[A] = a = ½a0 ครึงชีวิตของปฏิกิริยาอันดับศูนย์
อัตราการเกิดปฏิกิริยามีค่าคงที ไม่ขึนกับความเข้มข้น ของสารตังต้น (ส่วนใหญ่เป็นปฏิกิริยาวิวิธพันธ์)
ปฏิกิริยาอันดับศูนย์ของสารเริ่มต้นเพียงชนิดเดียวA →ผลิตภัณฑ์
กฎอัตราอินทิเกรตหาได้จากการอินทิเกรตกฎอัตรา ดิฟเฟอเรนเชียล
อันดับของปฏิกิริยาสามารถหาได้จากความสัมพันธ์ ระหว่างความเข้มข้นของสารตังต้นหรือผลิตภัณฑ์ทีเวลา ต่างๆ (การวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาโดยตรงทําได้ยาก)
อธิบายว่าความเข้มข้นของสารเป็นเท่าใดทีเวลาต่างๆ
การหาอันดับปฏิกิริยาเทียบกับสารแต่ละตัว
หาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับความ เข้มข้นของสารแต่ละชนิด (อันดับของปฏิกิริยา)
วัดอัตราการเกิดปฏิกิริยา(initial rate)เทียบกับสารตังต้น ทีความเข้มข้นเริมต้นต่างๆ กัน
เขียนกฎอัตราของปฏิกิริยาในเทอมของสารตังต้นทุกตัว
อันดับของปฏิกิริยาหาได้จากการทดลอง
ถ้าอันดับของปฏิกิริยาไม่เท่ากับสัมประสิทธิ (x ≠ a หรือ y ≠ b ปฏิกิริยาจะเกิดขึนโดยผ่านขันตอน ย่อย (elementary step)
ถ้าอันดับของปฏิกิริยาเท่ากับสัมประสิทธิ (x = a และ y = b) อาจสันนิษฐานได้ว่าปฏิกิริยาเคมี เกิดขึนแบบขันตอนเดียว (simple reaction)
อันดับของปฏิกิริยาได้จากการทดลองเท่านัน
m + n = 0 ➡ ปฏิกิริยาอันดับศูนย์ = 1 ➡ ปฏิกิริยาอันดับหนึง = 2 ➡ ปฏิกิริยาอันดับสอง = 3/2 ➡ ปฏิกิริยาอันดับสามส่วนสอง
เมื่อ k คือค่าคงที่อัตรา(rate constant) และm, n คืออันดับปฏิกิริยาซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงอัตราต่อการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นโดยที่ m + n = อันดับของปฏิกิริยา(order of reaction)เรียก กฎอัตรา (rate law)
ค่า r ไม่จําเป็นต้องขึนกับสารตังต้นทุกตัว
เมือเวลาผ่านไปสารตังต้นลดลง จะส่งผลให้r ลดลง
อัตราการเปลียนแปลงความเข้มข้นของ สาร (ความชันของกราฟ) มีค่าไม่คงที่
อัตราการเกิดปฏิกิริยาหาได้จากอัตรา การเปลียนแปลงความเข้มข้นของสาร
อัตราการเปลียนแปลงความเข้มข้นของสาร เท่ากับ ความชันของกราฟ
เขียนกราฟระหว่างเวลา (t) และความเข้มข้นของสาร [A]
อัตราการเกิดปฏิกิริยา
อัตราการเกิดปฏิกิริยาสามารถหาได้จากอัตราการ เปลียนแปลงของความเข้มข้นของสารตัวใดตัวหนึงใน ปฏิกิริยาเคมี
อัตราการเปลียนแปลงความเข้มข้นของสารแต่ละตัวมี ความสัมพันธ์กันตามปฏิกิริยาเคมี(ปริมาณสารสัมพันธ์)
อัตราการเกิดปฏิกิริยา(rate of reaction; r) สามารถคํานวณได้จาก อัตราการเปลียนแปลงความเข้มข้นของสาร(ตัวใดก็ได้)
อัตราการเปลียนแปลงความเข้มข้นของสารแต่ละชนิดใน ปฏิกิริยาอาจไม่เท่ากัน
ความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์[P] เพิมขึน
ความเข้มข้นของสารตังต้น [A], [B] ลดลง