by kanokporn Chaneiad 4 years ago
566
More like this
เงินปลีก มีอัตราประมาณ ๑๐๐ เบี้ย ต่อ ๑ อัฐ หรือ ๘๐๐ ถึง ๑,๒๐๐ เบี้ย ต่อ ๑ เฟื้อง
สมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์มีรูปร่างอ้วนกลมเหมือนสมัยอยุธยาตอนปลาย มีรอยบากเป็นเมล็ดข้าวสาร มีตราจักรและตราประจำรัชกาล เมื่อการค้ากับต่างประเทศขยายตัวขึ้นอย่างชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงเปลี่ยนจากเงินพดด้วงเป็นเหรียญกษาปณ์กลมแบน และมีการยกเลิกเงินการใช้เงินพดด้วงในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2447 เหรียญกลมแบน
สมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงแรกรูปร่างคล้ายสมัยสุโขทัย แต่มีรอยบอกขนาดเล็กลง เรียกกันว่าตราเมล็ดข้าวสาร ตราจักร ด้านบนเป็นสัญลักษณ์ ตราด้านหน้าเป็นตราประจำรัชกาล เงินพดด้วงสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
Subtopic
นอกจากนี้ ยังโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ใบพระราชทานเงินตราหรือเช็คขึ้นใช้อีกด้วย แต่ทั้งหมายและใบพระราชทานเงินตรา ซึ่งเป็นเงินตราชนิดใหม่ทำด้วยกระดาษ ประชาชนไม่นิยม จึงมีใช้เฉพาะในรัชกาลของพระองค์เท่านั้น
ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ เริ่มผลิตเหรียญเงินชนิด บาท สลึง และเฟื้อง ตราพระแสงจักรและตราพระมหามงกุฎ เมื่อได้นำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้ามาแล้ว จึงเริ่มผลิตเหรียญเงินชนิดราคาบาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง และกึ่งเฟื้อง ขึ้นเป็นจำนวนมาก
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๐๕ ได้แก้ไขปัญหาจำนวนเงินตรามูลค่าต่ำ โดยผลิตเหรียญอัฐและโสฬสด้วยดีบุก เพื่อใช้เป็นเงินปลีกแทนเบี้ยหอย รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญชนิดราคา ซีกและเสี้ยวด้วยทองเหลืองและทองแดงขึ้นใช้ด้วย
มาตราของเงินไทยภายหลังจากได้มีการปรับปรุงแล้วจึงเป็นดังนี้ ๒ โสฬส เท่ากับ ๑ อัฐ ๒ อัฐ เท่ากับ ๑ เสี้ยว ๒ เสี้ยว เท่ากับ ๑ ซีก ๒ ซีก เท่ากับ ๑ เฟื้อง ๒ เฟื้อง เท่ากับ ๑ สลึง ๔ สลึง เท่ากับ ๑ บาท ๔ บาท เท่ากับ ๑ ตำลึง ๒๐ ตำลึง เท่ากับ ๑ ชั่ง